ประชุมชี้แจง “เงื่อนไขสุขอนามัยอาหารสัตว์เลี้ยง และการขอขึ้นทะเบียนสถานประกอบการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐเกาหลี”
7 ตุลาคม 2568 สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย (TPFA) ร่วมกับ ศูนย์ส่งเสริมอาหารสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร กองควบคุมอาหารและยาสัตว์ กรมปศุสัตว์ และสมาคมผู้ประกอบกิจการอาหารสัตว์เลี้ยง (PIA) จัดประชุมชี้แจง “เงื่อนไขสุขอนามัยอาหารสัตว์เลี้ยง และการขอขึ้นทะเบียนสถานประกอบการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐเกาหลี” ณ ห้อง ASOKE1 โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21 กรุงเทพมหานคร และทางออนไลน์ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมแบบ On-site 45 คน (TPFA นำโดย คุณเกรียงชัย ประธาน คกก.เทคนิค, คุณชุติมา คกก.เทคนิค, คุณสุพัตรา ผอ.) และทาง Online 100 Account โดยมี สพ.ญ. สุดารัตน์ ผอ.อยส. เป็นประธาน และ น.สพ. อุดม ผอ.ศูนย์ส่งเสริมอาหารสัตว์เลี้ยงฯ กล่าวรายงาน สรุปดังนี้
วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในเงื่อนไขด้านสุขอนามัยที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ตลอดจนเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความเข้าใจตรงกัน และสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของหน่วยงาน APQA (Animal and Plant Quarantine Agency) สาธารณรัฐเกาหลี อันจะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยไปยังสาธารณรัฐเกาหลีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากสาธารณรัฐเกาหลีมีการปรับปรุงเงื่อนไขในการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงเมื่อช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา กำหนดให้สถานประกอบการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อการส่งออกไปยังสาธารณรัฐเกาหลีต้องได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ไม่เคยมีมาก่อน ทางกองควบคุมอาหารและยาสัตว์ ได้ชี้แจงรายละเอียด ดังนี้
1. พระราชบัญญัติ เงื่อนไขสุขอนามัยอาหารสัตว์เลี้ยง และการขอขึ้นทะเบียนสถานประกอบการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อการส่งออกไปยังสาธารณรัฐเกาหลี
เกาหลีใต้ประกาศ MAFRA Notification No. 2025-20 กำหนดให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่นำเข้าต้องเป็นอาหารสำเร็จรูปที่มีวัตถุดิบจากสัตว์ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์ ไข่ฆ่าเชื้อ หนังดอง ไขมันแต่งกลิ่น หรือสินค้าส่วนตัว วัตถุดิบต้องมาจากประเทศที่ได้รับอนุญาตและผ่านการตรวจสอบโดยสัตวแพทย์ หากนำเข้าจากพื้นที่ต้องห้าม ต้องผ่านการฆ่าเชื้อตามเกณฑ์ เช่น เนื้อหมู ≥70°C 30 นาที, สัตว์ปีก ≥56°C 30 นาที หรือผลิตภัณฑ์แบบกระป๋อง/รีทอร์ท/อัดแห้ง
โรงงานผลิตต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลเกาหลีใต้ ต้องไม่อยู่ในพื้นที่โรคระบาด เก็บบันทึกการผลิต ≥2 ปี ผลิตภัณฑ์ต้องมีฉลากระบุชื่อสินค้า โรงงาน และส่วนผสม หากพบการไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกระงับหรือถอนการอนุมัติ รวมทั้งกรณีไม่มีการส่งออก ≥3 ปี เอกสารที่ใช้ในการขึ้นทะเบียน ได้แก่ ใบสมัครอนุมัติสถานที่กักกัน, แบบตรวจสอบโรงงาน และเอกสารประกอบอื่น ๆ โดยมีมาตรการผ่อนผันจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568
2. การออกหนังสือรับรองสุขอนามัยอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อการส่งออกไปยังสาธารณรัฐเกาหลี
ไทยได้ปรับรูปแบบ Health Certificate (ตุลาคม 2025) ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ โดยระบุวัตถุดิบที่ใช้ต้องเป็นไปตามที่ MAFRA อนุญาต สัตว์ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนเชือด และผลิตภัณฑ์ต้องผลิต/ส่งออกจากไทยด้วยมาตรการป้องกันการปนเปื้อน ใบรับรองต้องแสดงรายละเอียดผลิตภัณฑ์ วิธีการฆ่าเชื้อ ข้อมูลการขนส่ง และเงื่อนไขสุขภาพ เช่น การให้ความร้อนเนื้อหมู ≥70°C 30 นาที ผลิตภัณฑ์ไข่พาสเจอร์ไรส์ตามอุณหภูมิ–เวลาที่กำหนด รวมถึงสินค้ากระป๋อง/รีทอร์ทที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ
นอกจากนี้ ยังต้องยืนยันว่าโรงงานผู้ผลิตผ่านการตรวจสอบจากทั้งกรมปศุสัตว์ไทยและทางการเกาหลีใต้ มีระบบบันทึกการผลิต ≥2 ปี และยอมรับการตรวจสอบซ้ำ หากพบการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน
วิทยากรชี้แจงเพิ่มเติมว่า โรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงทุกแห่งยังสามารถส่งออกไปเกาหลีใต้ได้โดยไม่ต้องขึ้นทะเบียน และยังคงใช้แบบฟอร์ม HC เดิมในการส่งออกได้ตามปกติ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 หลังจากวันที่ดังกล่าว จะมีการตกลงรูปแบบ HC ใหม่กับทางการเกาหลีใต้ และเตรียมนำมาบังคับใช้ต่อไป แต่หากภายในเดือน ต.ค.68 นี้ ยังไม่ชัดเจนในเรื่องรายละเอียดที่สามารถเดินหน้าต่อได้ จะทำเรื่องผ่าน อยส. ไปยังกรมปศุสัตว์ ขอทำเรื่องเลื่อนออกไป ซึ่งในหลายๆประเทศก็ยังคงปัญหาเดียวกัน
อนึ่ง สพ.ญ.สุดารัตน์ ผอ.อยส. ได้แจ้งว่า อยากให้สมาคมช่วยพูดคุยกับผู้ประกอบการเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน กรณีที่หลายฝ่ายสะท้อนว่า “การขึ้นทะเบียนล่าช้า” โดยชี้แจงว่า ปัจจุบันระบบการขึ้นทะเบียนประเภท 03 มีความก้าวหน้าและรวดเร็วขึ้นมากแล้ว แต่ประเภท 01 และ 02 ยังคงใช้เวลานาน เนื่องจากมีคำขอจำนวนมากและต้องตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้ความต้องการด้านการขึ้นทะเบียนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ทาง ผอ.อยส. เปิดมุมมองว่าอยากฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนว่า จะสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างไร และภาครัฐจะสนับสนุนได้ในจุดไหนบ้าง พร้อมทั้งเสนอแนวคิดจัดประชุมหารือร่วมกันที่กรมประมง โดยเบื้องต้นทางกรมได้เริ่มแก้ปัญหา เช่น เพิ่มบุคลากร (ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการรับสมัคร) และจัดทีมเจ้าหน้าที่ไปตรวจทะเบียนเดือนละ 2 วัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ
ในเรื่องนี้ สมาคมฯ จะเวียนสอบถามสมาชิกเพื่อรวบรวมประเด็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนำมาใช้ประกอบการหารือกับกรมปศุสัตว์ต่อไป